วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
กศน.อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี นำเกษตรกร เข้าศึกษาดูงานการเกษตรธรรมชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
หลักเกษตรธรรมชาติ
หลักสำคัญในการทำเกษตรธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ “การเลียนแบบธรรมชาติ”
ธรรมชาติของต้นไม้ในป่าเมื่อดอก ผล กิ่ง ใบ ร่วงหล่นลงดิน ก็จะมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ คอยย่อยสลายเศษซากเหล่านั้นกลับคืนสู่ดิน สะสมเป็นอาหารให้ต้นไม้นำกลับมาหล่อเลี้ยงลำต้น กิ่งก้าน ใบ ดอก ผล ได้ต่อไป
เปรียบเทียบกับการทำการเกษตรของเราในปัจจุบัน เราเก็บดอกผลไปกิน ไปขาย เป็นการนำอาหารออกไปจากดินทุกปี โดยไม่เคยใส่คืนกลับมา มิหนำซ้ำยังมีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในดินที่ช่วยย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ ช่วยสร้างอาหารให้พืชถูกทำลายไปด้วย
เมื่อดินเสื่อม ดินตาย ผลผลิตก็ลดลง ต้องเพิ่มปุ๋ยเพิ่มยามากขึ้น ราคาผลผลิตก็ไม่แน่นอนขึ้นลงตามกลไกของตลาด ที่คงที่และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ ราคาปุ๋ยและยา ชีวิตเกษตรกรก็กลับเข้าสู่วังวนเดิม ๆ นั่นก็คือ ขาดทุนซ้ำซาก หนี้สินพอกพูน ที่ร้ายกว่านั้นคือสุขภาพที่ทรุดโทรมสะสมจากการใช้สารเคมี
การนำจุลินทรีย์มาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของเกษตรกร จะสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้มาก การนำเอาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มาทำเป็นหัวเชื้อสำหรับนำไปขยายและประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ทั้งการช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช คืนสมดุลให้กับธรรมชาติ เกษตรกรจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีอีก ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นตามไปด้วย
การใช้หลักชีววิธีในการปรับปรุงบำรุงดิน ต้องให้เวลาจุลินทรีย์ทำงานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ผ่านการใส่ปุ๋ยใส่สารเคมีมาเป็นระยะเวลานาน ยิ่งต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษ ไม่มีทางที่ช่วงแรก ๆ ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในพริบตา การงดใช้สารเคมีในทันที ผลผลิตก็ต้องลดลงในทันทีเช่นกัน (นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แนวคิดเกษตรยั่งยืนยังไม่เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศ พูดยากครับ เป็นเรื่องของมุมมองและวิธีคิด ต้องลองทำเลย ใครทำใครได้ ถือเป็นปฏิบัติปัญญา) แต่เมื่อดินถูกปรับสภาพ ปรับโครงสร้าง จนเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชแล้ว เมื่อนั้นผลผลิตก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
. ฉะนั้นถ้าจะเริ่มต้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ส่งจุลินทรีย์กลับบ้าน … กลับคืนสู่ดิน
. จบครับ … สำหรับหลักการคร่าว ๆ เท่าที่เข้าใจ กลับมาที่สวนดีกว่า ที่นี่เราสร้างบ้านที่น่าอยู่ให้กับจุลินทรีย์ด้วยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก คลุมดินด้วยใบไม้ใบหญ้าและอินทรียวัตถุต่างๆ ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์จัดการ ตั้งแต่ตระเตรียมอาหารให้พืช ปรับปรุงบำรุงดินให้สมบูรณ์ ร่วนซุย เหมาะแก่การหยั่งรากชอนไชของพืช ทั้งยังช่วยทำลายเชื้อโรคร้ายในดินซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ ในพืช ทุกวันนี้ผมไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วครับ นอกจากธาตุอาหารเสริมบางตัวที่ยังต้องให้ทางใบ
หลังจากปรับเปลี่ยนวิถีสวนมาเป็นเกษตรธรรมชาติได้สองปี (ยังเป็นแค่ semi-natural farming อยู่ครับยังไม่ pure) ที่เห็นได้ชัดคือ ปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชน้อยลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นหนอนชอนใบ หนอนม้วนใบ หนอนคืบกินใบ หรือ เพลี้ยต่าง ๆ ที่เคยเป็นเจ้าประจำ แต่ปีนี้ไม่แวะเวียนมาทักทายกันเลย
น่าจะเป็นผลจากต้นไม้แข็งแรงขึ้น มีภูมิคุ้มกันโรคและแมลง และผลจากการใช้สมุนไพรทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชผสมผสานกับการทำงานของจุลินทรีย์ที่ทำให้เหล่าผีเสื้อมวน ผีเสื้อหนอนทั้งหลายไม่วางไข่ หรือวางแล้วไข่ฝ่อไม่ฟักเป็นตัว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้แมลงศัตรูธรรมชาติจำพวกตัวห้ำ ตัวเบียน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นลูกมือช่วยเราห้ำหั่น เบียดเบียน เจ้าพวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายให้ลดน้อยลง จนความเสียหายอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ขอสดุดีวีรกรรมของเพื่อนสวนทั้งหลายเท่าที่ปรากฏตัวให้เห็น อาทิ นก แมงมุม ตั๊กแตน ด้วงเต่า มวนพิฆาต รวมไปถึงบรรดาต่อ แตน และ มด อาจจะมีอีกหลายชนิดที่ไม่รู้จักและไม่เห็นตัว ยังไงก็ขอขอบคุณทุกชีวิตที่ได้มาอาศัยและช่วยเหลือกัน
ยังครับยังไม่แฮปปี้เอนดิ้ง ยังมีศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้สวนผมอยู่ ก็คือ บรรดาแมลงปีกแข็งต่าง ๆ จำพวก แมลงค่อมทอง ด้วงปีกแข็ง ที่มาแทะใบอ่อนลำไยซะพรุนไปหมด พวกนี้สมุนไพรเอาไม่ค่อยอยู่อย่างมากก็หนีไปแต่สักพักก็กลับมาใหม่ อีกอย่างช่วง ก.พ-เม.ย เป็นช่วงระบาดของพวกมันพอดี ถ้าใช้ยาฆ่าแมลงก็แน่นอนว่าตายหมดแน่ครับไม่มีเหลือ รวมไปถึงพรรคพวกเพื่อนสวนแมลงศัตรูธรรมชาติทั้งหลายของผมด้วย ที่ทำได้ในตอนนี้คือใช้ระบบแมนน่วล คือ จับมาหักคอทิ้งที่ละตัวสองตัว ยังดีที่ควบคุมทรงพุ่มเอาไว้ไม่ให้สูงเกิน ๓ เมตร ทำให้ไม่ลำบากมากนักเวลาไล่ล่าพวกมัน
.
ห้องทำงานของจุลินทรีย์
นี่ล่ะครับไอ้ตัวร้าย … แมลงค่อมทอง
ดูมันทำ … ชีวิตช่างรื่นรมย์เสียจริง
นี่อีกตัวครับ … ด้วงปีกแข็ง
. มานึกดูแล้วก็ผิดที่เราเองนี่แหละที่คิดทำลำไยนอกฤดู พวกแมลงศัตรูพืชทั้งหลายเลยมีอาหารกินตลอดทั้งปี จริง ๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลำไยธรรมชาติเริ่มติดผลเท่าหัวไม้ขีดแล้ว แต่ของเรากำลังเร่งให้แตกใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมทำนอกฤดู
นี่คงเป็นผลของการเหยียบเรือสองแคม ปลูกพืชเชิงเดี่ยวแต่ริใช้วิธีธรรมชาติ ทั้งที่จริงแล้วเกษตรธรรมชาติควรมีความหลากหลาย ผสมผสาน และมุ่งหวังเพียงเพื่อการยังชีพ แต่ผมยังมั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า การประยุกต์ศาสตร์ทางการเกษตรรูปแบบต่าง ๆ มาใช้ โดยอยู่บนพื้นฐานของการเคารพนบนอบกับธรรมชาติ น่าจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับชีวิตได้ แม้ผมจะมุ่งหวังทำการเกษตรในเชิงการค้าเป็นหลักก็ตาม
คงต้องปวดหัวกันอีกหลายยกล่ะครับกับการใช้ธรรมชาติช่วยฝืนธรรมชาติ
อุทยานวิทย์ฯ หว้ากอ เรียนรู้เกษตรธรรมชาติ
ศฝก.วัดญาณสังวรารามฯ
ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
Agricultural Training and Development Centre
at Wat Yanasangvararam Voramahaviharn
at Wat Yanasangvararam Voramahaviharn
Under H.M. The King Initiative
พระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบปัญหาสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับเกษตรกรไทย ได้แก่ ปัญหาความยากจน การใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความล้มเหลวของภาคเกษตรกรรม ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้นล้วนแต่มีผลกระทบร้ายแรงต่อเกษตรกรไทย และฐานะความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะส่งเสริมฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้อยู่ในฐานะ "พออยู่ พอกิน ตามควร" รวมทั้ง "การพึ่งพาตนเอง" โดยมีพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่เรียกว่า "โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ซึ่งมีอยู่ทั่ว ทุกภาคของประเทศ
ประวัติความเป็นมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบปัญหาสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับเกษตรกรไทย ได้แก่ ปัญหาความยากจน การใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความล้มเหลวของภาคเกษตรกรรม ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้นล้วนแต่มีผลกระทบร้ายแรงต่อเกษตรกรไทย และฐานะความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะส่งเสริมฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้อยู่ในฐานะ "พออยู่ พอกิน ตามควร" รวมทั้ง "การพึ่งพาตนเอง" โดยมีพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่เรียกว่า "โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ซึ่งมีอยู่ทั่ว ทุกภาคของประเทศ
ประวัติความเป็นมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภุมิพลอดุลยเดช ได้ทอดพระเนตรเห็นความแห้งแล้งและความยากจนของราษฎรที่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบๆพื้นที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2525 และทรงทราบถึงพระประสงค์ ในการที่จะพัฒนาพื้นที่วัดญาณฯ ของสมเด็จพระญาณสังวราสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าอาวาส วัดญาณสังวรารารามฯ อยู่ในขณะนั้น พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริกับคณะที่มาเข้าเฝ้ารับเสด็จให้ร่วมกันพิจารณาจัดและดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่วัดญาณฯ ขึ้น หนึ่งในโครงการดังกล่าวทรงมีพระราชดำรัสให้ หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ องคมนตรีร่วมกับหน่วยงานต่างๆ พิจารณาจัดตั้งสถานที่ฝึกอบรมด้านการเกษตรให้แก่เยาวชน โดยใช้ชื่อว่า "ศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนเกษตรวัดญาณสังวราราม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 มีศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนจังหวัดปราจีนบุรี (สระแก้ว) เป็นผู้ดำเนินการหลัก
ต่อมาได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นสถานศึกษาสังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2535 พร้อมกับ ชื่อใหม่คือ "ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมศูนย์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินแล้ว 3 ครั้ง คือ
1) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530
2) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2531
3) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2533
1) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530
2) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2531
3) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2533
พระราชดำรัส
พระราชดำรัสที่พระราชทานให้แก่ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530
1. การแก้ปัญหาสภาพดินเสื่อมโทรม และให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำแก่ราษฎรทั่วไป
2. การทดลองปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพดิน
3. การฝึกอบรมควรเน้นการใช้น้ำอย่างประหยัด
4. ให้มีการติดตามผลการนำความรู้ไปใช้ของผู้ผ่านการอบรมอย่างสม่ำเสมอ
5. ให้มีกระบวนการจัดการและการตลาดเพื่อความมั่นใจแก่ผู้เข้ารับการอบรม
6. การแปรรูปและการถนอมอาหาร ควรจัดเป็นหลักสูตรให้สอดคล้องกับการนำความรู้ไปใช้
7. หน่อไม้ฝรั่งเป้นพืชที่ควรส่งเสริมชนิดหนึ่งเพราะตลาดต่างประเทศต้องการมาก
8. ควรจัดเป็นสถานศึกษาเปิดเพื่อให้บริการแก่ราษฎรที่มีความสนใจเข้าชมและศึกษาด้วยตนเอง
9. ควรขยายจำนวนผู้เข้ารับการอบรมเพิ่มทีละน้อย ไม่ควรใหญ่โตอย่างรวดเร็ว หรือมีปริมาณผู้เข้ารับอบรมมากเกิน
ภูมิหลัง
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ กับหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ องคมนตรี และนายสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน กปร. ให้ร่วมพิจารณาจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาวชนเกษตร โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. อยากให้วัดมีบทบาทแบบดั้งเดิม เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชนให้ชาวบ้านมาพึ่งได้
2. โครงการวัดญาณฯ นี้ ควรมีโรงพยาบาลและโรงเรียน หากไม่จัดตั้งโรงเรียนก็ควรตั้งเป็นศูนย์เยาวชนเกษตรแทน โดยเอาลูกศิษย์วัดมาฝึกอบรมวิชาหาความรู้ เพื่อต่อไปจะได้นำไปประกอบอาชีพได้ และในเวลาว่างก็มาปรนนิบัตรพระ และจะได้รับการอบรมด้านศีลธรรมควบคู่ไปด้วย
3. เมื่อมีการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) แล้วความเจริญทางด้านวัตถุจะเข้ามามาก วัดญาณฯ นี้จะเป็นแหล่งสร้างความเจริญทางจิตใจมิให้เสื่อมโทรมไปด้วย
4. ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ร่วมกันจัดทำแผนงานฝึกอบรมเยาวชนเกษตรในพื้นที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในชั้นต้นให้จัดหาเยาวชนเข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งควรจะเป็นลูกศิษย์วัด
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2528 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวรได้เชิญหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ประชุมร่วมกัน และที่ประชุมก็ได้มอบหมายให้สำนักงาน กปร. รับไปพิจารณาจัดทำแผนงานจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาชนเกษตร
ต่อมาก็ได้จัดให้มีการประชุมขึ้นอีก 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2529 และ 11 กุมภาพันธ์ 2529 โดยได้มีการจัดให้มีการประชุมภายในร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ในการจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาวชนเกษตรขึ้น ณ ห้องกุฏิท่านสมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นประธานในที่ประชุม ในการประชุมทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว เป็นการประชุมชี้แจงถึงความเป็นมาของศูนย์ฝึกอบรม และบทบาทของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานเกี่ยวกับศูนย์อบรมเยวชนเกษตรโดยตรง และก็ได้มีการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาในรายละเอียดในการจัดทำแผนงานและงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป
ในปี 2528 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่กรมชลประทานก่อสร้างอาคารหอพัก ชาย-หญิง จำนวน 2 หลัง อาคารหอประชุมและอเนกประสงค์ 1 หลัง ในพื้นที่ดินของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ด้านหลังโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จำนวน 60 ไร่ เพื่อจัดเป็นแปลงฝึกหัดและแปลงสาธิต
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2529 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน วิทยาลัยเกษตรกรรมชลบุรี วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี และกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 7 คน โดยมอบให้กรมการศึกษานอกโรงเรียน โดยศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนไทยจังหวัดปราจีนบุรี โดยมี ดร.กล้า สมตระกูล ผู้อำนวยการศูนย์ และนายสมศักดิ์ พดด้วง หัวหน้าฝ่ายวิชาเกษตรกรรมเป็นผู้อำนวยการฝึก
พระราชดำรัสที่พระราชทานให้แก่ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530
1. การแก้ปัญหาสภาพดินเสื่อมโทรม และให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำแก่ราษฎรทั่วไป
2. การทดลองปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพดิน
3. การฝึกอบรมควรเน้นการใช้น้ำอย่างประหยัด
4. ให้มีการติดตามผลการนำความรู้ไปใช้ของผู้ผ่านการอบรมอย่างสม่ำเสมอ
5. ให้มีกระบวนการจัดการและการตลาดเพื่อความมั่นใจแก่ผู้เข้ารับการอบรม
6. การแปรรูปและการถนอมอาหาร ควรจัดเป็นหลักสูตรให้สอดคล้องกับการนำความรู้ไปใช้
7. หน่อไม้ฝรั่งเป้นพืชที่ควรส่งเสริมชนิดหนึ่งเพราะตลาดต่างประเทศต้องการมาก
8. ควรจัดเป็นสถานศึกษาเปิดเพื่อให้บริการแก่ราษฎรที่มีความสนใจเข้าชมและศึกษาด้วยตนเอง
9. ควรขยายจำนวนผู้เข้ารับการอบรมเพิ่มทีละน้อย ไม่ควรใหญ่โตอย่างรวดเร็ว หรือมีปริมาณผู้เข้ารับอบรมมากเกิน
ภูมิหลัง
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2528 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ กับหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ องคมนตรี และนายสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน กปร. ให้ร่วมพิจารณาจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาวชนเกษตร โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. อยากให้วัดมีบทบาทแบบดั้งเดิม เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชนให้ชาวบ้านมาพึ่งได้
2. โครงการวัดญาณฯ นี้ ควรมีโรงพยาบาลและโรงเรียน หากไม่จัดตั้งโรงเรียนก็ควรตั้งเป็นศูนย์เยาวชนเกษตรแทน โดยเอาลูกศิษย์วัดมาฝึกอบรมวิชาหาความรู้ เพื่อต่อไปจะได้นำไปประกอบอาชีพได้ และในเวลาว่างก็มาปรนนิบัตรพระ และจะได้รับการอบรมด้านศีลธรรมควบคู่ไปด้วย
3. เมื่อมีการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) แล้วความเจริญทางด้านวัตถุจะเข้ามามาก วัดญาณฯ นี้จะเป็นแหล่งสร้างความเจริญทางจิตใจมิให้เสื่อมโทรมไปด้วย
4. ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ร่วมกันจัดทำแผนงานฝึกอบรมเยาวชนเกษตรในพื้นที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในชั้นต้นให้จัดหาเยาวชนเข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งควรจะเป็นลูกศิษย์วัด
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2528 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระญาณสังวรได้เชิญหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ประชุมร่วมกัน และที่ประชุมก็ได้มอบหมายให้สำนักงาน กปร. รับไปพิจารณาจัดทำแผนงานจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาชนเกษตร
ต่อมาก็ได้จัดให้มีการประชุมขึ้นอีก 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2529 และ 11 กุมภาพันธ์ 2529 โดยได้มีการจัดให้มีการประชุมภายในร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ในการจัดตั้งสถานฝึกอบรมเยาวชนเกษตรขึ้น ณ ห้องกุฏิท่านสมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นประธานในที่ประชุม ในการประชุมทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว เป็นการประชุมชี้แจงถึงความเป็นมาของศูนย์ฝึกอบรม และบทบาทของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานเกี่ยวกับศูนย์อบรมเยวชนเกษตรโดยตรง และก็ได้มีการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาในรายละเอียดในการจัดทำแผนงานและงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป
ในปี 2528 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่กรมชลประทานก่อสร้างอาคารหอพัก ชาย-หญิง จำนวน 2 หลัง อาคารหอประชุมและอเนกประสงค์ 1 หลัง ในพื้นที่ดินของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ด้านหลังโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จำนวน 60 ไร่ เพื่อจัดเป็นแปลงฝึกหัดและแปลงสาธิต
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2529 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน วิทยาลัยเกษตรกรรมชลบุรี วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี และกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 7 คน โดยมอบให้กรมการศึกษานอกโรงเรียน โดยศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนไทยจังหวัดปราจีนบุรี โดยมี ดร.กล้า สมตระกูล ผู้อำนวยการศูนย์ และนายสมศักดิ์ พดด้วง หัวหน้าฝ่ายวิชาเกษตรกรรมเป็นผู้อำนวยการฝึก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)